เมนู

รื่นรมย์นี้ ย่อมไม่มีแก่ชนทั้งหลายผูไม่ได้ทำบุญ
ไว้ ย่อมมีแต่เฉพาะเหล่าชนผู้มีบุญอันทำไว้แล้ว
เท่านั้น ความสุขในโลกนี้และในปรโลก ย่อมไม่
มีแก่เหล่าชนผู้ไม่ทำบุญ ความสุขในโลกนี้และ
โลกหน้า ย่อมมีเฉพาะแก่เหล่าชนผู้ทำบุญไว้
ปรารถนาความเป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าไตร-
ทศเทพ พึงทำบุญกุศลไว้ให้มาก เพราะว่าบุคคล
ผู้ทำบุญไว้แล้ว ย่อมบันเทิงใจอยู่ในสวรรค์
เพียบพร้อมไปด้วยโภคสมบัติ.

จบ อภิชชมานเปตวัตถุที่ 1

จูฬวรรคที่ 3



อรรถกถาอภิชชมานเปตวัตถุที่ 1



เมื่อพระศาสดาเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภเปรตพรานตนหนึ่ง จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อภิชฺชมาเน วาริมฺหิ ดังนี้.
ได้ยินว่าในกรุงพาราณสี ได้มีพรานคนหนึ่งอยู่ในบ้าน
ชื่อว่า จุนทัฏฐิละ เลยวาสภคาม ฝั่งแม่น้ำคงคาในด้านอีกทิศหนึ่ง
เขาล่าเนื้อในป่าย่างเนื้อล่ำ ๆ กิน ที่เหลือเอาห่อใบไม้หามมาเรือน
พวกเด็กเล็ก ๆ เห็นเขาที่ประตูบ้านจึงวิ่งเหยียดมือร้องขอว่า จง

ให้เนื้อฉัน จงให้เนื้อฉัน เขาได้ให้เนื้อแก่เด็กเหล่านั้นคนละน้อย ๆ.
ภายหลังวันหนึ่ง พวกเด็กเห็นเขาที่ประตูบ้าน ผู้ไม่ได้เนื้อ ประดับ
ดอกราชพฤกษ์และหอบเอาไปบ้านเป็นจำนวนมาก จึงวิ่งเหยียด
มือร้องขอว่า จงให้เนื้อฉัน จงให้เนื้อฉัน เขาได้ให้ดอกนมแมว
แก่เด็กเหล่านั้นคนละดอก.
ครั้นสมัยต่อมา เขาทำกาละแล้วบังเกิดในหมู่เปรต เป็นผู้
เปลือยกายมีรูปน่าเกลียด เห็นเข้าน่าสะพึงกลัว ไม่รู้จักข้าวและ
น้ำแม้แต่ในความฝัน ทัดทรงกำดอกราชพฤกษ์และดอกโกสุมบน
ศีรษะ คิดว่าเราจักได้อะไร ๆ ในสำนักของพวกญาติในจุนทัฏฐิลคาม
เมื่อน้ำในแม่น้ำคงคาไหลไม่ขาดสาย จึงเดินทวนกระแสน้ำไป. ก็
สมัยนั้น อำมาตย์ของพระเจ้าพิมพิสาร ชื่อว่า โกลิยะ ปราบ
ปัจจันตนครซึ่งกำเริบเสิบสานให้สงบแล้วก็กลับมา จึงส่งพล
บริวารมีพลช้าง ละพลม้าเป็นต้นไปทางบก ส่วนตนเองมาทางเรือ
ตามกระแสแม่น้ำคงคา เห็นเปรตนั้นกำลังเดินไปอย่างนั้น เมื่อจะ
ถามจึงกล่าวคาถาว่า :-
ดูก่อนเปรต ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มี
ร่างกายเป็นเปรตกึ่งหนึ่ง ทัดทรงดอกไม้ ตกแต่ง
ร่างกายเดินไปในน้ำที่ไหลไม่ขาดสายในแม่น้ำ
คงคานี้ ท่านจักไปไหน ที่อยู่ของท่านอยู่ที่ไหน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิชฺชนาเน ได้แก่ ไม่แยกกัน
คือ ยังติดกันโดยการย่างเท้า. บทว่า วาริมฺหิ คงฺคาย ได้แก่ น้ำใน

แม่น้ำคงคา. บทว่า อิธ คือ ในที่นี้. บทว่า ปุพฺพทฺธเปโตว ความว่า
มีร่างกายข้างหน้ากึ่งหนึ่ง ไม่เหมือนเปรต คือเหมือนเทพบุตร
ไม่นับเนื่องในกำเนิดเปรต. เพื่อจะเลี่ยงคำถามว่า อย่างไร ? ท่านจึง
กล่าวว่า เป็นผู้ทัดทรงดอกไม้ประดับประดา. อธิบายว่า ประดับ
ประดาด้วยดอกไม้ คล้องไว้ที่ศีรษะ. บทว่า กสฺส วาโส ภวิสฺสติ
ความว่า ที่อยู่ของท่าน อยู่ในบ้านไหน หรือในประเทศไหน ท่าน
จงบอกเรื่องนั้น.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงคำที่เปรตนั้นและโกลิยอำมาตย์กล่าว
ในกาลไร พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวคาถาว่า :-
เปรตนั้นกล่าวว่า ข้าพเจ้าจักไปยังบ้าน
จุนทัฏฐิละอันอยู่ในระหว่างวาสภคามกับกรุง
พาราณสี แต่บ้านนั้นอยู่ใกล้กรุงพาราณสี ก็
มหาอำมาตย์อันปรากฏชื่อว่า โกลิยะเห็นเปรต
นั้นแล้ว ได้ให้ข้าวสตูและคูผ้าสีเหลืองแก่เปรต
นั้น เมื่อเรือหยุดเดินได้ให้ข้าวสตูและคู่ผ้าแก่
อุบาสกช่างกัลบก เมื่อคู่ผ้าอันโกลิยะให้ช่าง
กัลบกแล้ว ผ้านุ่งผ้าห่มก็ปรากฏแก่เปรตทันที
ภายหลัง เปรตนั้นนุ่งห่มผ้าดีแล้ว ทัดทรงดอกไม้
ตกแต่งร่างกายด้วยอาภรณ์ ทักษิณาย่อมสำเร็จ
แก่เปรตนั้นผู้อยู่ในที่นั้น เพราะฉะนั้น บัณฑิต

ผู้มีปัญญาพึงให้ทักษิณบ่อย ๆ เพื่ออนุเคราะห์
แก่เปรตทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า. จุนฺทฎฺฐิลํ ได้แก่ บ้านอันมีชื่อ
อย่างนั้น. บทว่า อนฺตเร วาสภคามํ พาราณสึ จ สนฺติเก ได้แก่
ในระหว่างวาสภคามและกรุงพาราณสี. จริงอยู่ บทว่า อนฺตเร
วาสภคามํ พาราณสึ จ สนฺติเก
นี้ เป็นทุติยาวิภัติ ใช้ในอรรถแห่ง
ฉัฏฐีวิภัติ เพราะประกอบด้วย อนฺตรา ศัพท์. จริงอยู่ บ้านนั้น
อยู่ในที่ใกล้กรุงพาราณสีแล. ก็ในข้อนั้น มีอธิบายดังนี้ว่า ในระหว่าง
วาสภคามและกรุงพาราณสี ข้าพเจ้าจักไปบ้านชื่อว่า จุนทัฏฐิลคาม
ไม่ไกลแต่กรุงพาราณสี.
บทว่า โกลิโย อิติ วิสฺสุโต ได้แก่ มีชื่อปรากฏอย่างนี้ว่า
โกลิยะ. บทว่า สตฺตุํ ภตฺตญฺจ ได้แก่ ข้าว และภัต. บทว่า
ปิตกญฺจ ยุคํ อทา ความว่า ได้ให้คู่ผ้าคู่หนึ่งสีเหลือง คือ สีเหมือน
ทองคำ. หากเมื่อเขาถามว่า ได้ให้เมื่อไร ? จึงกล่าวตอบว่า ได้ให้
เมื่อเรือหยุด. บทว่า กปฺปกสฺส อทาปยิ มีวาจาประกอบความว่า
ได้หยุดเรือซึ่งกำลังแล่น ได้ให้แก่อุบาสกช่างกัลบกคนหนึ่งในที่นั้น
เมื่อโกลิยอำมาตย์ให้คู่ผ้านั้น. บทว่า ฐาเน คือ โดยทันที ได้แก่
ในขณะนั้นนั่นเอง. บทว่า เปตสฺส ทิสฺสถ ความว่า ได้ปรากฏใน
ร่างของเปรต คือ ผ้านุ่งและผ้าห่มได้สำเร็จแก่เปรตนั้น. ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า ภายหลังเปรตนั้นนุ่งห่มดีแล้ว ทัดทรงดอกไม้
ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์ อธิบายว่า นุ่งห่มผ้าดีแล้ว ประดับ

ประดาตกแต่งด้วยอาภรณ์คือดอกไม้. บทว่า ฐาเน ฐิตสฺส เปตสฺส
อุปกปฺปถ
ความว่า ก็เพราะทักษิณานั้นตั้งอยู่ในฐานะอันควรแก่
พระทักขิไณยบุคคล ย่อมสำเร็จ คือ ได้ถึงการประกอบเป็นพิเศษ
แก่เปรตนั้น. บทว่า ตสฺมา ทชฺเชถ เปตานํ อนุกมฺปาย ปุนปฺปุนํ
ความว่า พึงให้ทักษิณาบ่อย ๆ เพื่ออนุเคราะห์เปรต คือ เพื่ออุทิศ
เปรต.
ลำดับนั้น โกลิยมหาอำมาตย์นั้น เมื่อจะอนุเคราะห์เปรตนั้น
จึงให้สำเร็จทานวิธีมาตามกระแสน้ำ เมื่อพระอาทิตย์อุทัยได้ถึง
กรุงพาราณสี. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาทางอากาศ เพื่อ
อนุเคราะห์เปรตเหล่านั้น ได้ประทับยืนที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ฝ่าย
โกลิยมหาอำมาตย์ลงจากเรือแล้ว หรรษาร่าเริง นิมนต์พระผู้มี-
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ขอพระองค์
ทรงรับภัตตาหารของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้ เพื่ออนุเคราะห์
ข้าพระองค์. พระศาสดาทรงรับด้วยดุษณีภาพ. โกลิยมหาอำมาตย์
นั้นได้ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้ว จึงให้สร้างสาขา
มณฑปใหญ่ในภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ในขณะนั้นนั่นเอง ให้ประดับ
ประดาด้วยผ้าต่างชนิดอันวิจิตรด้วยสีย้อมต่าง ๆ ทั้งเบื้องบน
และด้านข้าง ๆ ทั้ง 4 ด้าน ได้ให้ปูอาสนะถวายแด่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าในที่นั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะที่
ตบแต่งไว้.

ลำดับนั้น มหาอำมาตย์นั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
บูชาด้วยสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ถวายบังคมแล้ว
นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลคำที่ตนกล่าวและคำโต้ตอบ
ของเปรตในหนหลัง แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระดำริว่า ขอสงฆ์จงมา. พร้อมกับที่พระองค์ทรงพระดำริ
นั่นแล ภิกษุสงฆ์อันพุทธานุภาพกระตุ้นเตือน จึงพากันแวดล้อม
พระธรรมราชา ดุจฝูงหงส์ทองพากันแวดล้อมพญาหงส์ธตรฐ.
ในขณะนั้นนั่นเอง มหาชนพากันประชุมด้วยถ้อยคำ จักมีพระธรรม
เทศนาอันยิ่ง. มหาอำมาตย์เห็นด้วยดังนั้นมีจิตเลื่อมใส จึงอังคาส
ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ให้อิ่มหนำด้วยขาทนียะ
และโภชนียะอันประณีต. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยพระกระยาหาร
เสร็จแล้ว เพื่ออนุเคราะห์มหาชนจึงทรงอธิษฐานว่า ขอคนชาวบ้าน
ใกล้กรุงพาราณสีจงประชุมกันเถิด. ก็มหาชนทั้งหมดนั้นได้ประชุม
กันด้วยกำลังพระฤทธิ์. และพระองค์ได้ทรงทำเปรตเป็นอันมาก
ให้ปรากฏแก่มหาอำมาตย์. บรรดาเปรตเหล่านั้น บางพวกนุ่งผ้า
ท่อนเก่าขาดวิ่น บางพวกเอาผมของตนเองปิดอวัยวะที่ละอาย
บางพวกเปลือยกายมีรูปเหมือนตอนเกิด ถูกความหิวกระหาย
ครอบงำ มีหนังหุ้มห่อไว้ มีร่างกายเพียงแต่กระดูก เที่ยวหมุนเคว้ง
ไปข้างโน้นข้างนี้ ปรากฏแก่มหาชนโดยประจักษ์
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรุงแต่งอิทธาภิสังขาร
คือบันดาลด้วยพระฤทธิ์ โดยประการที่เปรตเหล่านั้นประชุมพร้อม

กันประกาศความชั่วที่ตนทำแก่มหาชน. พระสังคีติกาจารย์เมื่อ
จะแสดงเนื้อความนั้น จึงได้กล่าวคาถาทั้งหลายว่า :-
เปรตเหล่าอื่น บางพวกนุ่งผ้าขี้ริ้วขาด
รุ่งริ่ง บางพวกนุ่งผม หลีกไปยังทิศน้อยทิศใหญ่
เพื่อหาอาหาร บางพวกวิ่งไปแม้ในที่ไกล ไม่ได้
ก็กลับมา บางพวกสลบแล้ว เพราะความหิว
กระหาย นอนกลิ้งเกลือกบนพื้นดิน บางพวก
ล้มลงที่แผ่นดินในที่ที่คนวิ่งไปนั้น ร้องไห้ร่ำไร
ว่า เราทั้งหลายไม่ได้ทำกุศลไว้ในกาลก่อน จึง
ได้ถูกไฟคือ ความหิว ความกระหายเผาอยู่ ดุจ
ถูกไฟเผาในที่ร้อน เมื่อก่อนพวกเรามีธรรมอัน
ลามก เป็นหญิงแม่เรือนมารดาทารกในตระกูล
เมื่อไทยธรรมทั้งหลายมีอยู่ ไม่กระทำที่พึ่งแก่ตน.
เออ ก็ข้าวและน้ำมีมาก แต่เราไม่ทำการแจกจ่าย
ให้ทานและไม่ได้ให้อะไร ๆ ในบรรพชิตผู้
ปฏิบัติชอบ อยากทำแต่กรรมที่คนดีเขาไม่ทำ
เกียจคร้าน ใคร่แต่ความสำราญ และกินมาก
ให้แต่เพียงโภชนะก้อนหนึ่ง คำว่าปฏิคาหกผู้รับ
โภชนะ. เรือน ทาส ทาสี และเครื่องอาภรณ์ของ
เราเหล่านั้น ไม่สำเร็จประโยชน์แก่พวกเรา
พวกเขาไปบำเรอคนอื่นหมด พวกเรามีแต่ส่วน

ของความทุกข์ เราจุติจากเปรตนี้แล้วจักไปเกิด
ในตระกูลอันต่ำช้าเลวทราม คือ ตระกูลจักสาน
ตระกูลช่างรถ ตระกูลนายพราน ตระกูลคน
จัณฑาล ตระกูลคนกำพร้า ตระกูลช่างกัลบก
นี่เป็นคติของความตระหนี่. ส่วนทายกทั้งหลาย
ผู้ได้ทำกุศลไว้ในชาติก่อน ปราศจากความ
ตระหนี่ ย่อมทำสวรรค์ให้บริบูรณ์ และย่อมทำ
สวนนันทนวันให้สว่างไสว รื่นรมย์อยู่เวชยันต-
ปราสาท สำเร็จความปรารถนาในสิ่งที่น่าใคร่
ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว ย่อมเกิดในตระกูลสูง
มีโภคะมาก คือ ในตระกูลคนมีเรือนยอด และ
ปราสาทราชมณเฑียร มีบัลลังก์ลาดด้วยผ้า
โกเชาว์ มีเหล่าบุรุษและสตรีถือพัดอันประดับ
ด้วยแววหางนกยูง คอยพัดอยู่. ในเวลาเป็นทารก
ก็ทัดทรงดอกไม้ ตกแต่งร่างกาย หมู่ญาติ พี่เลี้ยง
นางนมผลัดกันอุ้ม ไม่ต้องลงสู่พื้นดิน อันชน
ผู้ปรารถนาความสุขเข้าไปบำรุงอยู่ทั้งเช้าและ
เย็นตลอดชาติ. สวนใหญ่ของเทวดาเหล่าไตรทศ
ชื่อว่านันทนวัน เป็นสถานที่ไม่เศร้าโศก น่า
รื่นรมย์นี้ ย่อมไม่มีแก่ชนผู้ไม่ได้ทำบุญไว้ ความ
สุขในโลกนี้และโลกหน้า ย่อมมีเฉพาะแต่คนผู้

ทำบุญไว้ ผู้ปรารถนาความเป็นสหายแห่งเทวดา
เหล่าไตรทศ พึงทำบุญกุศลไว้ให้มาก เพราะว่า
บุคคลผู้ทำบุญไว้ย่อมบันเทิงใจอยู่ในสวรรค์
เพียบพร้อมด้วยโภคสมบัติ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาตุนฺนวสนา แปลว่า นุ่งผ้าขี้ริ้ว
รุ่งริ่ง. บทว่า เอเก แปลว่า บางพวก. บทว่า เกสนิวาสนา แปลว่า
เอาผมนั่นแหละปิดอวัยวะที่น่าอาย. บทว่า ภตฺตาย คจฺฉนฺติ ความว่า
หยุดอยู่เฉพาะที่ไหน ๆ ไม่ได้ ย่อมเดินไปเพื่อต้องการอาหารด้วย
หวังใจว่า ไฉนพวกเราไปจากนี้แล้ว จะพึงได้อะไร ๆ จะเป็นอาหาร
ที่เขาทิ้งก็ตาม อาเจียนก็ตาม ครรภมลทินเป็นต้นก็ตาม ในที่ใด
ที่หนึ่ง. บทว่า ปกฺกมนฺติ ทิโสติสํ ความว่า. หลีกจากทิศไปสู่ทิศสิ้นที่
มีระยะห่างหลายโยชน์.
บทว่า ทูเร แปลว่า ในที่ไกลมาก. บทว่า เอเก ได้แก่ เปรต
บางพวก. บทว่า ปธาวิตฺวา ได้แก่ วิ่งเข้าไปเพื่อต้องการอาหาร.
บทว่า อลทฺธาว นิวตฺตเร ความว่า ครั้นไม่ได้ข้าวหรือน้ำดื่มอะไร ๆ
เลยก็พากันกลับ. บทว่า ปมุจฺฉิตา ความว่า เกิดสลบเพราะความ
ทุกข์อันเกิดแต่ความหิวและความกระหายเป็นต้น. บทว่า ภนฺตา
แปลว่า กลิ้งเกลือกไป. บทว่า ภูมิยํ ปฏิสุมฺภิตา ความว่า เมื่อความ
สลบนั้นนั่นแลเกิดขึ้น ก็ซูบซีดล้มลงบนแผ่นดิน เหมือนบุคคลยืน
ขว้างก้อนดินลงไปฉะนั้น

บทว่า ตตฺถ คือในที่ที่ตนเดินไป. บทว่า ภูมิยํ ปฏิสุมฺภิตา
ความว่า ล้มลงบนภาคพื้น เพราะไม่สามารถจะทรงตัวอยู่ได้ ด้วย
ความทุกข์อันเกิดแต่ความหิวเป็นต้น เหมือนตกไปในเหวฉะนั้น.
หรือว่าในที่ที่ไปนั้น เป็นผู้หมดหวังเพราะไม่ได้อาหารเป็นต้น
ก็ล้มลงบนภาคพื้น เหมือนถูกใคร ๆ โบยตีตรงหน้า. บทว่า ปุพฺเพ
อกตกลฺยาณา
แปลว่า ผู้ไม่ได้ทำคุณความดีอะไรไว้ในภพก่อน.
บทว่า อคฺคิทฑฺฒาว อาตเป ความว่า ถูกไฟคือความหิวกระหายแผดเผา
ย่อมเสวยทุกข์อย่างมหันต์ เหมือนถูกไฟเผาในที่ร้อนในฤดูแล้ง.
บทว่า ปุพฺเพ คือในอดีตภพ. บทว่า ปาปธมฺมา ได้แก่
ชื่อว่าผู้มีสภาวะอันลามก เพราะมีความริษยา และความตระหนี่
เป็นต้น. บทว่า ฆรณี ได้แก่ หญิงผู้เป็นแม่เรือน. บทว่า กุลมาตโร
ได้แก่ ผู้เป็นมารดาของทารกในตระกูล หรือเป็นมารดาของบุรุษ
ในตระกูล. บทว่า ทีปํ แปลว่าที่พึ่ง อธิบายว่า บุญ. จริงอยู่
บุญนั้นท่านเรียกว่า ปติฏฺฐา เพราะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย
ในสุคติ. บทว่า นากมฺห แปลว่า ไม่ทำไว้แล้ว.
บทว่า ปหูตํ แปลว่า มาก. บทว่า อนฺนปานมฺปิ ได้แก่
ข้าวและน้ำ. ศัพท์ว่า สุ ในบทว่า อปิสฺสุ อวกิรียติ เป็นเพียงนิบาต.
เออก็ข้าวแลน้ำเราไม่ได้กระทำ คือ ทิ้งเสีย. บทว่า สมฺมคฺคเต
ได้แก่ เมื่อเราดำเนินชอบคือปฏิบัติชอบ. บทว่า ปพฺพชิเต แปลว่า
แก่นักบวช. จริงอยู่ บทว่า ปพฺพชิเต นี้เป็นสัตตมีวิภัติ ใช้ในอรรถ
จตุตถีวิภัติ. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า เมื่อบรรพชิตผู้ดำเนินชอบ

มีอยู่ คือ เมื่อได้บรรพชิต. บทว่า น จ กิญฺจิ อทมฺหเส ความว่า
พวกเปรตผู้ถูกความเดือดร้อนครอบงำกล่าวว่า เราไม่ได้ให้ไทยธรรม
แม้เพียงเล็กน้อย.
บทว่า อกฺมมกามา ความว่า ชื่อว่า อกัมมกามะ เพราะ
ปรารถนาอกุศลกรรมที่คนดีทั้งหลายไม่พึงกระทำ หรือชื่อว่า
กัมมกามะ เพราะปรารถนากุศลกรรมที่คนดีพึงทำ ชื่อว่า อกัมมกามะ
เพราะไม่ปรารถนากุศลกรรม อธิบายว่า ไม่มีฉันทะในกุศลกรรม.
บทว่า อลสา ได้แก่ เป็นคนเกียจคร้าน คือ ไม่มีความเพียรในการ
กระทำกุศล. บทว่า สาทุกามา ได้แก่ ปรารถนาสิ่งที่สำราญ
และอร่อย. บทว่า มหคฺฆสา แปลว่า ผู้กินจุ. แม้ด้วยบททั้ง 2
ท่านแสดงไว้ว่า ได้โภชนะที่ดีและอร่อยแล้วไม่ให้อะไร ๆ แก่
ผู้ต้องการ บริโภคเองเท่านั้น. บทว่า อาโลปปิณฺฑทาตาโร ได้แก่
ให้ก้อนข้าวแม้เพียงคำเดียว. บทว่า ปฏิคฺคเห ได้แก่ ผู้รับก้อนข้าว
นั้น. บทว่า ปริภาสิมฺหเส ได้แก่ กล่าวกดขี่ อธิบายว่า ดูหมิ่นและ
เย้ยหยัน.
บทว่า เต ฆรา มีอธิบายว่า ในกาลก่อน พวกเราได้กระทำ
ความรักว่าเรือนของเรา เรือนเหล่านั้นตั้งอยู่ตามเดิม บัดนี้ สิ่ง
อะไร ๆ ก็ไม่สำเร็จแก่พวกเรา. แม้ในบทว่า ตา จ ทาสิโย
ตาเนวาภรณานิ โน
นี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
โน แปลว่า ก็พวกเรา. บทว่า เต ได้แก่ มีเรือนเป็นต้นเหล่านั้น.
บทว่า อญฺเญ ปริจาเรนฺติ ความว่า กระทำการประกอบให้พิเศษ

ด้วยการบริโภคเป็นต้น. บทว่า มยํ ทุกฺขสฺส ภาคิโน ความว่า
พวกเปรตกล่าวติเตียนตนว่า ก็เมื่อก่อน พวกเราขวนขวายแต่การ
เล่นอย่างเดียว ละทิ้งสมบัติไม่รู้ที่ทำให้สมบัตินั้นติดตัวไป แต่บัดนี้
เราเป็นผู้มีส่วนแห่งทุกข์อันเกิดแต่ความหิว และความกระหาย
เป็นต้น.
บัดนี้ เพราะเหตุที่สัตว์ทั้งหลายจุติจากกำเนิดเปรตแล้ว
แม้จะเกิดในมนุษย์ ก็เป็นคนมีชาติเลว มีความประพฤติเหมือน
คนกำพร้าทีเดียว ด้วยเศษแห่งวิบากกรรมนั้นนั่นแล เพราะฉะนั้น
เพื่อจะแสดงความนั้น ท่านจึงกล่าว 2 คาถาโดยนัยมีอาทิว่า เวณี
วา ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวณี วา ได้แก่ เกิดในตระกูล
ช่างสาน อธิบายว่า เป็นช่างสานไม้ไผ่ ช่างส่านไม้อ้อ. วา ศัพท์
มีอรรถไม่แน่นอน. บทว่า อวญฺญา แปลว่า ดูหมิ่น อธิบายว่า
ดูแคลน. บาลีว่า วมฺภนา ตัดพ้อ ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ถูกผู้อื่น
เบียดเบียน. บทว่า รถการี ได้แก่ ช่างหนัง. บทว่า ทุพฺภิกา ได้แก่
ผู้มักประทุษร้ายมิตร คือผู้เบียดเบียนมิตร. บทว่า จณฺฑาลี แปลว่า
เป็นคนชาติจัณฑาล. บทว่า กปณา ได้แก่ วณิพก คือผู้ได้รับความ
สงสารอย่างยิ่ง. บทว่า กปฺปกา ได้แก่ เกิดในตระกูลช่างกัลบก
ในบททั้งปวงมีวาจาประกอบความว่า มีบ่อย ๆ อธิบายว่า ย่อมเกิด
ในตระกูลต่ำเหล่านี้แล้ว ๆ เล่า ๆ.
บทว่า เตสุ เตเสฺวว ชายนฺติ ความว่า เกิดในเปรตทั้งหลาย
เพราะมลทิน คือความตระหนี้ จุติจากเปรตแล้วบังเกิดในตระกูล

คนกำพร้าแม้พวกอื่น มีตระกูลนายพราน และตระกูลคนเทหยากเยื่อ
ซึ่งถูกตัดพ้อมาก และเข็ญใจอย่างยิ่งอันเป็นตระกูลต่ำ. ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า นี้เป็นคติของตนตระหนี่ ดังนี้.
พระสังคีติกาจารย์ครั้นแสดงคติของสัตว์ผู้ไม่ได้ทำบุญไว้
อย่างนี้ บัดนี้เพื่อจะแสดงคติของคนผู้ทำบุญไว้ จึงกล่าวคาถา
7 คาถาว่า ก็ผู้ได้ทำคุณงามความดีไว้ในปางก่อน ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สคฺคํ เต ปริปูเรนฺติ ความว่า ทายก
ทั้งหลายได้ทำคุณงามความดีไว้ในชาติก่อน ยินดียิ่งในบุญอัน
ว่าด้วยการให้ทาน ปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ย่อมทำ
สวรรค์ คือ เทวโลกให้บริบูรณ์ ด้วยรูปสมบัติของตนและด้วย
บริวารสมบัติ. บทว่า อภาเสนฺติ จ นนฺทนํ ความว่า ไม่ใช่ทำ
นันทนวันให้บริบูรณ์อย่างเดียวเท่านั้น โดยที่แท้ ย่อมครอบงำ
นันทนวันแม้สว่างไสว อยู่ตามสภาวะด้วยรัศมีแห่งต้นกัลปพฤกษ์
เป็นต้น และให้ว่างไสวโชติช่วงด้วยความโชติช่วงแห่งผ้าและ
อาภรณ์ ละด้วยรัศมีแห่งร่างกายของตน.
บทว่า กามกามิโน ความว่า มีเครื่องใช้สอยตามปรารถนา
ในกามคุณตามที่ต้องการ. บทว่า อุจฺจากุเลสุ ได้แก่ ตระกูลสูง
มีตระกูลกษัตริย์เป็นต้น. บทว่า สโภเคสุ ได้แก่ มีสมบัติมาก.
บทว่า ตโต จุตา ความว่า ครั้นจุติจากเทวโลกนั้นแล้ว
บทว่า กูฏาคาเร จ ปาสาเท ได้แก่ ในกูฎาคารและปราสาท.
บทว่า พีชิตงฺคา ได้แก่ มีเรือนร่างที่ถูกเขาพัดวีอยู่. บทว่า

โมราหตฺเถทิ ได้แก่ ถือพัดวีชนีประดับด้วยแววหางนกยูง. บทว่า
ยสสฺสิโน อธิบายว่า มีบริวารรื่นรมย์อยู่.
บทว่า องฺกโต องฺกํ คจฺฉนฺติ ความว่า แม้ในเวลาเป็นทารก
พวกญาติและนางนมพากันกะเดียดไป อธิบายว่า ไม่ไปตามพื้นดิน.
บทว่า อุปติฏฺฐนฺติ แปลว่า คอยบำรุงอยู่. บทว่า สุเขสิโน ได้แก่
ผู้ปรารถนาความสุข อธิบายว่า คอยบำบัดทุกข์แม้มีประมาณน้อยว่า
ความหนาวหรือความร้อนอย่าได้มี.
บทว่า นยิทํ กตปุญฺญานํ ความว่า สวนใหญ่ของเทวดา
ดาวดึงส์เหล่าไตรทศ ชื่อว่า นันทนวัน ใกล้ป่าใหญ่นี้ ไม่มีความ
เศร้าโศก น่ารื่นรมย์ใจ ไม่มีแก่ผู้ไม่ได้ทำบุญไว้ อธิบายว่า ผู้ที่
ไม่ได้บุญไว้ไม่อาจได้.
ด้วยบทว่า อิธ นี้ ท่านกล่าวหมายเอาผู้ที่ได้ทำบุญไว้เป็น
พิเศษในมนุษยโลกนี้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อิธ คือในปัจจุบัน.
บทว่า ปรตฺถ คือ ในสัมปรายภพ.
บทว่า เตสํ ได้แก่ อันเทพทั้งหลายตามที่กล่าวแล้วนั้น.
บทว่า สหพฺยกามานํ ได้แก่ ปรารถนาความเป็นสหาย. บทว่า
โภคสมงฺคิโน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยโภคะทั้งหลาย อธิบายว่า ผู้
เพียบพร้อมด้วยกามคุณ 5 อันเป็นทิพย์ บันเทิงใจอยู่. คำที่เหลือ
มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร ตามควร
แก่อัธยาศัยของมหาชน ผู้ประชุมกันในที่นั้น มีโกลิยอำมาตย์เป็น

ประมุข ผู้มีใจสลด ในเมื่อเปรตเหล่านั้นประกาศถึงคติของกรรม
ที่ตนทำไว้โดยทั่วไป และ คติของบุญกรรมด้วยประการอย่างนี้.
ในเวลาจบเทศนา สัตว์ 84,000 ได้ตรัสรู้ธรรม ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอภิชชมานเปตวัตถุที่ 1

2. สานุวาสีเถรเปตวัตถุ



ว่าด้วยพระเถระทำทานอุทิศถึงเปรต



[112] พระเถระชาวกุณฑินครรูปหนึ่ง อยู่ที่
ภูเขาสานุวาสี มีนามว่า โปฏฐปาทะ เป็นสมณะ
ผู้มีอินทรีย์อันอบรมดีแล้ว มารดาบิดาและพี่ชาย
ของท่านเกิดในยมโลก เสวยทุกขเวทนา เพราะ
ทำกรรมลามก จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก เปรต
เหล่านั้นถึงทุคติ มีช่องปากเท่ารูเข็ม ลำบากยิ่ง
นัก เปลือยกายซูบผอม มีความเกรงกลัวสะดุ้ง
หวาดเสียวมาก มีการงานทารุณ ไม่อาจแสดงตน
แก่พระเถระได้ เปรตผู้เป็นพี่ชายของท่านตนเดียว
เปลือยกายรีบไปนั่งคุกเข่าประนมมือแสดงตน
แต่พระเถระ พระเถระไม่ใส่ใจถึง เป็นผู้นิ่งเดิน
เลยไป เปรตนั้นจึงบอกให้พระเถระรู้ว่า ข้าพเจ้า
พี่ชายของท่านไปสู่เปตโลก ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
มารดาบิดาของท่านเกิดในยมโลกเสวยทุกข์
เพราะทำบาปกรรม จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก
เปรตผู้เป็นมารดาบิดาของท่านทั้งสองนั้น มีช่อง
ปากเท่ารูเข็ม ลำบากมาก เปลือยกาย ซูบผอม
มีความเกรงกลัวสะดุ้งหวาดเสียวมาก มีการงาน